อันตรายจากน้ำตาล
น้ำตาลจัดเป็นอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่ไม่มีเส้นใยอาหาร น้ำตาล 1 กรัมให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี ข้อแนะนำในการรับประทานน้ำตาล คือ จำกัดไว้ที่ 5-10% ของพลังงานที่ได้รับทั้งหมดในหนึ่งวัน ซึ่งตามหลักโภชนาการแนะนำให้กินน้ำตาลในปริมาณน้อยเช่นเดียวกับไขมันและเกลือ สำหรับคนไทยกองโภชนาการแนะนำว่าไม่ควรกินน้ำตาลเกิน 6 ช้อนชาต่อวัน
ทำไมจึงควรเลี่ยงน้ำตาล
1. เมื่อเรากินน้ำตาลมากเกินไป โดยเฉพาะน้ำตาลเชิงเดี่ยว (น้ำตาลทราย น้ำผึ้ง น้ำตาลในผลไม้ น้ำตาลในนม) น้ำตาลจะเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ทำให้เลือดมีสภาวะเป็นกรดมากเกินไป ร่างกายเกิดภาวะไม่สมดุล จึงมีการดึงแร่ธาตุจากส่วนต่างๆ ภายในร่างกายมาแก้ไขความไม่สมดุล
2. ทำให้เกิดไขมันสะสม น้ำตาลจะถูกเก็บไว้ที่ตับ ในรูปของไกลโคเจน แต่ถ้ามีมากจนเกินไป ตับก็จะส่งไปยังกระแสเลือด และเปลี่ยนเป็นกรดไขมัน โดยจะสะสมไว้ในส่วนของร่างกาย ที่มีการเคลื่อนไหวน้อย เช่น สะโพก ก้น ขาอ่อน หน้าท้อง
3. หากยังคงรับประทานน้ำตาลอย่างต่อเนื่อง กรดไขมันจะสะสมไว้ที่อวัยวะภายในอื่นๆ เช่น หัวใจ ตับ และไต ดังนั้น อวัยวะเหล่านี้จะค่อยๆ ถูกห่อหุ้มด้วยไขมัน ร่างกายจะเริ่มผิดปกติ ความดันเลือดจะสูงขึ้น
4. การรับประทานน้ำตาลมากเกินไป มีผลต่อการทำงานของสมอง ทำให้รู้สึกง่วงหงาวหาวนอน
5. อาการปวดศีรษะเรื้อรัง เป็นตะคริวเวลามีรอบเดือน เป็นสิว ผื่น แผลพุพอง ตกกระ แผลริดสีดวงทวาร ไมเกรน เบาหวาน วัณโรค โรคหัวใจ มะเร็งตับ เหล่านี้ล้วนสัมพันธ์ กับการรับประทานน้ำตาลมากเกินไป
6. น้ำตาลทำให้อาการของโรคติดเชื้อที่เป็นอยุ่ ทวีความรุนแรงขึ้น เพราะเชื้อโรคทุกชนิดใช้น้ำตาลเป็นอาหาร
7. น้ำตาลนอกจากจะมีผลต่อผู้ใหญ่แล้ว ยังมีผลต่อเด็กอีกด้วย เพราะถ้าหากเด็กกินน้ำตาล ในปริมาณที่มากจนเกินไป จะทำให้เด็กเป็นโรคกระดูกเปราะ และฟันผุได้ และอาจเป็นคนโกรธง่าย ไม่มีสมาธิในสิ่งที่ทำอยู่ค่ะ
วิธีลดน้ำตาล & ลดโรค
1. หยุดเติมน้ำตาล เป็นวิธีง่ายที่สุดและเห็นผลในการลดน้ำหนักและพลังงาน แต่การหยุดกินน้ำตาลทันทีอาจทำได้ยาก จึงควรลดปริมาณน้ำตาลลงทีละน้อย เช่น ลดปริมาณน้ำตาลในชา กาแฟและนมที่ดื่มอยู่ หรืออาจใช้น้ำตาลเทียมซึ่งให้แคลอรีน้อยแทนน้ำตาล เลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูง เช่น ขนมจุบจิบ ลูกอม ช็อคโกแลตที่รสหวานเกินไป เป็นต้น
2. อย่าหลงคารมคำโฆษณาว่าเป็น “น้ำตาลสุขภาพ” เช่น น้ำตาลทรายแดง เพราะไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลชนิดใดก็ล้วนให้พลังงานเท่ากัน
3. รับประทานผลไม้แทนขนมหวาน เพราะผลไม้มีวิตามิน แร่ธาตุ และมีเส้นใยอาหารที่ช่วยลดหรือชะลอการดูดซึมน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตซึ่งเป็นสาเหตุของโรคอ้วน แต่ควรจำกัดปริมาณเพียงวันละ 2 อุ้งมือ เพราะในผลไม้ก็มีน้ำตาลอยู่ด้วย และเลี่ยงดื่มน้ำผลไม้ เพราะจะได้รับน้ำตาลมากเกินความต้องการ
4. ลดหรือกำจัดคาร์โบไฮเดรตแปรรูป จำพวกขนมปังและเบเกอรี่ เส้นพาสต้าและของขบเคี้ยว เพราะส่วนใหญ่ทำมาจากแป้งซึ่งจะเปลี่ยนไปเป็นน้ำตาลในเลือดได้เร็วพอๆ กับการกินกลูโคส นอกจากนี้คาร์โบไฮเดรตที่เหลือใช้จะถูกเก็บสะสมเป็นไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งเป็นไขมันที่ร่างกายเก็บเป็นเสบียงค่ะ
5. ระวังของว่างไร้ไขมัน จากความเชื่อผิดๆที่ว่า ถ้าอาหารไร้ไขมันจะไม่ทำให้อ้วน ความจริงอาหารไร้ไขมันยังมีน้ำตาลและปริมาณแคลอรีสูง
6. อ่านฉลากอาหารเพื่อค้นหาน้ำตาลและไขมันไม่ดี สำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานหรือต้องการควบคุมปริมาณพลังงานที่ได้รับในแต่ละวัน แต่ยังติดใจในรสหวานชนิดเลิกไม่ได้ อาจใช้สารให้ความหวานชนิดที่ให้พลังงานต่ำ ในอาหารสำเร็จรูปหรือเครื่องดื่มที่มีสารให้ความหวานดังกล่าวมักระบุไว้บนฉลากว่า"ปราศจากน้ำตาล" หรือ "sugar free"
7. ระวังการใช้สารให้ความหวานเทียมหรือสารทดแทนความหวานมากเกินควร เพราะอาจทำให้ร่างกายมีความอยากน้ำตาลหรือคาร์โบไฮเดรตมากขึ้น
8. คำนวณปริมาณน้ำตาล โดยอ่านข้อมูลโภชนาการที่แสดงปริมาณน้ำตาลทั้งหมดเป็นกรัมแล้วหารด้วยสี่ จะเท่ากับจำนวนช้อนชาของน้ำตาลที่กินเข้าไป
หากคุณชอบดื่มน้ำหวาน หรือน้ำอัดลมเป็นชีวิตจิตใจ คงต้องเบรกตัวเองไว้บ้าง เพราะนอกจากจะเพิ่มความเสี่ยงโรคเบาหวาน โรคอ้วน ไขมันในเลือดสูง ไขมันในตับ อาจเพิ่มความเสี่ยงโรคเกาต์อีกด้วยค่ะ
โรคเกาต์ หรือข้ออักเสบ คืออาการปวด บวมตามข้อต่อส่วนต่างๆ ตามร่างกาย มักเกิดบริเวณข้อแขน ข้อขา ข้อเท้าและโคนนิ้วหัวแม่เท้า สาเหตุที่น้ำหวานมาเกี่ยวพันธ์กับโรคเกาต์ได้ก็เพราะเมื่อดื่มน้ำหวานเข้าไป น้ำตาลฟรุ๊คโตส (Fructose) จะทำให้กรดยูริกในเลือดเพิ่มสูง และไหลเข้ากระดูกมากขึ้นจึงทำให้ปวดกระดูกตามไปด้วยค่ะ
ส่วนคนที่ไม่ได้เป็นโรคเกาต์ หากยิ่งดื่มน้ำหวานมาก ก็ยิ่งมีความเสี่ยงมาก มีรายงานว่าการดื่มน้ำหวานวันละ 1 แก้ว (200 มิลลิลิตร) จะเพิ่มความเสี่ยงสูงถึง 45 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นจึงควรเลี่ยงมาดื่มน้ำเปล่าจะดีกว่า
คนที่มีระดับด้ำตาลในเลือดสูง ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ป่วยเบาหวานเท่านั้น แต่หมายถึงคนที่ชอบรับประทานหวานเป็นประจำ ความหวานจะทำให้อวัยวะในร่างกายเสื่อมเร็วกว่าปกติและน้ำตาลยังเป็นอาหารชั้นดีสำหรับเชื้อโรคทุกตัวด้วยโดยที่ประเทศสหรัฐอเมริกา มีการบัญญัติโรคที่ชื่อ Syndrome X ว่าเป็นกลุ่มอาการอย่างหนึ่งที่ประกอบด้วยโรค 4 โรคคือ เบาหวาน ความดัน เส้นเลือดหัวใจตีบ อัมพาต 4 โรคนี้เกิดจาก “ความหวาน” อย่างเดียว
คนไข้มะเร็งต่อมลูกหมากรายหนึ่งได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับโรคของเขา เนื่องจากเขาสามารถทำให้มะเร็งหายไปได้โดยใช้เวลาเพียง 2 เดือน โดยไม่ได้รับการรักษาทางการแพทย์แผนปัจจุบันเลย เขาสรุปในตอนหนึ่งว่า “เกิดมาจนอายุ 60 แล้วเพิ่งรู้ว่าน้ำตาลเป็นอาหารของมะเร็ง น้ำตาลทุกประเภทเป็นอาหารของเชื้อโรคต่างๆและน้ำตาลทำให้คนป่วย
ทุกอย่างที่หวานเป็นอันตรายต่อท่กคนที่กิน คนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอจะมีโอกาสเป็นอันตรายจากน้ำตาลลดลงและการรับน้ำตาลเข้าสู่ร่างกายที่ดีไม่ควรเกินกว่า 10 ช้อนชาต่อวัน แต่ในปัจจุบันอาหารมากมายมีส่วนผสมของน้ำตาลเกือบทุกอย่างทำให้ยากต่อการควบคุมน้ำตาลที่ได้รับในแต่ละวันไม่ว่าจะมาจากอาหารหรือเครื่องดื่ม
สัญญาณเตือนภัยเมื่อร่างกายได้รับอันตรายจากความหวาน คือ น้ำหนักลดยาก เอวใหญ่กว่าสะโพก อยากกินอาหารรสหวานถ้าไม่ได้กินจะหงุดหงิด ตัวบวม ผมร่วง ความดันสูง นิ่ว ไต เบาหวาน ยูริค เป็นตะคริว เป็นเชื้อราหรือโรคผิวหนังบ่อยๆเพราะผิวหนังของคนๆนั้นจะเป็นกรดพร้อมให้ราขึ้น นอกจากนั้นน้ำตาลที่เรากินเข้าไปเมื่ออยู่ในร่างกายจนเกินความจำเป็นและเข้าไปอยู่ในเส้นเลือดทำให้มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง เลือดเหนียว ไหลได้ช้าลง ทำให้ความสามารถในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อด้อยประสิทธิภาพ และทำให้เกิดความเสือมของอวัยวะเพิ่มมากขึ้น
ถึงแม้ว่ารสหวานจะช่วยเพิ่มความกลมกล่อมให้กับอาหาร แต่ถ้าบริโภคในปริมาณมากจะทำให้เกิดโรคต่างๆ เป็นของแถมตามมาด้วย ดังนั้นจึงควรปรับพฤติกรรมการบริโภคให้มีปริมาณน้ำตาลลดน้อยลง เพื่อสุขภาพที่ดีของเราเองจะดีกว่า...
ที่มา : http://playpark08.exteen.com/20080902/entry