http://www.consumerprotection.or.th
สร้างเว็บไซต์Engine by iGetWeb.com 
 สิทธิและหน้าที่ของผู้บริโภค  เกี่ยวกับสมาคม  ผลการดำเนินงาน  สมัครสมาชิก  ติดต่อเรา
ค้นหา  ประเภทการค้นหา   
การโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพทางสื่อออนไลน์
การใช้ยาอย่างสมเหตุผล
สาระน่ารู้เกี่ยวกับผู้บริโภค
ด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ
ด้านบริการทางการแพทย์
ด้านอสังหาริมทรัพย์
ด้านอื่น ๆ
บทความ
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง




 

ซูโดอีเฟดรีนกับการรักษาหวัดด้วยตัวเอง

ซูโดอีเฟดรีนกับการรักษาหวัดด้วยตัวเอง

 เรื่องของซูโดอีเฟดรีน กับการรักษาหวัดด้วยตัวเอง

 กรณีสูโดเอฟีดรีนกับการรักษาหวัดด้วยตนเอง (หมอชาวบ้าน)

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก wsau.com
          ยาซูโดอีเฟดรีนตกเป็นข่าวหน้า 1 หนังสือพิมพ์รายวันทุกฉบับ และโทรทัศน์หลายช่อง หลังจากมีการพบว่า มีคนนำยาซูโดอีเฟดรีนไปเป็นสารตั้งต้นผลิตยาเสพติดที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท

          ล่าสุด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงนามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2555 ให้สารซูโดอีเฟดรีน (pseudoephedrine) และยาสูตรตำรับที่มีซูโดเอฟีดรีนเป็นส่วนประกอบของวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทประเภท 2 มีผลตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2555

          เกิดอะไรขึ้นกับ "ซูโดอีเฟดรีน" ผู้ป่วยสามารถใช้ยาชนิดใดแทนซูโดอีเฟดรีนได้ เมื่อเกิดอาการหวัดภูมิแพ้ และถ้ามีอาการหวัดจากเชื้อไวรัส สามารถใช้ยาชนิดใด และ/หรือการดูแลตนเองจากอาการหวัดได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้ยา ไปติดตามกัน

1.ซูโดอีเฟดรีนคือยาอะไร

          ยาซูโดอีเฟดรีนใช้บรรเทาอาการคัดจมูกที่เกิดจากโรคภูมิแพ้ และใช้หวัด

         ยาชนิดนี้ต้องกินตามแพทย์สั่งเท่านั้น

          ผลข้างเคียงจากการใช้ยาซูโดอีเฟดรีน คือ ใจสั่น นอนไม่หลับ วิงเวียน มึนงง คลื่นไส้ อาเจียน ตื่นเต้น กระสับกระส่าย หงุดหงิด ความดันเลือดสูง น้ำตาลในเลือดสูง

          ยาซูโดอีเฟดรีน มีสรรพคุณบรรเทาอาการคัดจมูกเท่านั้น เพราะผู้ที่มีอาการหวัดภูมิแพ้มักจะทำให้เยื่อบุจมูกบวมแดง จึงนิยมกินยาซูโดอีเฟดรีนสูตรผสมที่มียาต้านฮิสตามีน

          ยานี้ตัวมันเองไม่ทำให้เสพติด แต่เป็นสารตั้งต้นผลิตเป็นยาบ้า (แอมเฟตามีน) ทำให้เสพติดได้

          ดังนั้น ต้องเข้าใจ "หวัดภูมิแพ้" และหวัดจากเชื้อไวรัส จะได้เลือกใช้ยาที่เหมาะสมกับอาการ

2.หวัดภูมิแพ้คืออะไร

          บางครั้งเรียกหวัดจากอาการแพ้โรคแพ้อากาศ จมูกอักเสบจากภูมิแพ้

          หวัดภูมิแพ้ หมายถึง เยื่อจมูกอักเสบที่เกิดจากปฏิกิริยาภูมิแพ้ของร่างกาย จัดเป็นโรคภูมิแพ้ชนิดหนึ่ง ผู้ป่วยมักมีประวัติโรคภูมิแพ้ในครอบครัว เช่น หืด ลมพิษ ผื่นคัน น้ำมูกมีลักษณะใส ๆ คันในจมูก อาการมักเกิดเวลาถูกอากาศเย็น ควัน ฝุ่นละออง สารก่อภูมิแพ้ หรือสิ่งกระตุ้นอื่น ๆ
          โรคนี้มักเป็นเรื้อรัง ไม่ค่อยหายขาด ถ้าอาการมากพอทนได้ก็ไม่จำเป็นต้องกินยาอะไรทั้งสิ้น ถ้าจำเป็นต้องกินยา เบื้องต้นให้กินยาแก้แพ้ คือ ยาคลอร์เฟนิรามีน (chlorpheniramine)
          สิ่งสำคัญคือ การหลีกเลี่ยงสิ่งที่ก่อภูมิแพ้ (เช่น ไรฝุ่นบ้าน เชื้อรา สัตว์เลี้ยง ละอองเกสร) และหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ อาจช่วยให้โรคทุเลาลงได้โดยไม่ต้องพึ่งยา

3.หวัดจากเชื้อไวรัส

          ไข้หวัด เป็นโรคที่พบได้บ่อยที่สุด ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ บางคนอาจเป็นปีละหลายครั้ง โดยเฉพาะในเด็กเล็กและเด็กที่เพิ่งเข้าโรงเรียนในปีแรก ๆ ทั้งนี้ เนื่องจากเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของไข้หวัดมีอยู่มากกว่า 200 ชนิด
อาการไข้หวัดที่พบคือ มีไข้เป็นพัก ๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว อ่อนเพลีย เป็นหวัด คัดจมูก น้ำมูกใส จาม ไอ มีเสมหะเล็กน้อย
          เนื่องจากไข้หวัดเกิดจากเชื้อไวรัส จึงไม่มียาที่ใช้รักษาโดยเฉพาะ เพียงแต่รักษาไปตามอาการที่พบเท่านั้น
ปัจจุบันยังไม่มียาที่ใช้รักษาและป้องกันไข้หวัดอย่างได้ผล การรักษาอยู่ที่การพักผ่อนและการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยเป็นสำคัญ ยาที่ใช้ก็เป็นเพียงยาที่รักษาตามอาการเท่านั้น
          การรักษาที่สำคัญอยู่ที่ตัวผู้ป่วยเป็นสำคัญ โดยทั่วไปอาการตัวร้อนมักจะเป็นอยู่ประมาณ 3-4 วัน ถ้าเป็นเกิน 4 วัน มักจะแสดงว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน หรืออาจเกิดจากโรคอื่น ๆ
          ผู้ป่วยบางรายถึงแม้จะหายตัวร้อนแล้ว แต่ก็อาจมีน้ำมูกและไอต่อไปได้ บางรายอาจไอโครก ๆ อยู่เรื่อย อาจนานถึง 7-8 สัปดาห์ เนื่องจากเยื่อบุทางเดินหายใจถูกทำลายชั่วคราว ทำให้ไวต่อสิ่งระคายเคือง (เช่น ฝุ่น ควัน) มักจะเป็นลักษณะไอแห้ง ๆ หรือมีเสมหะเล็กน้อยเป็นสีขาว ถ้าพบว่าผู้ป่วยไม่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วยก็ไม่ต้องให้ยาอะไรทั้งสิ้น ให้ดื่มน้ำอุ่นมาก ๆ (ควรงดดื่มน้ำเย็น)
          ไม่จำเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะแก่ผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัดทุกราย ยกเว้นรายที่สงสัยจะมีภาวะแทรกซ้อนเท่านั้น

ผู้ที่ป่วยเป็นไข้หวัด ควรปฏิบัติตัว ดังนี้

          พักผ่อนมาก ๆ ห้ามตรากตรำงานหนัก หรือออกกำลังกายมากเกินไป

          สวมใส่เสื้อผ้าให้ร่างกายอบอุ่น อย่าถูกฝน หรือถูกอากาศเย็นจัด และอย่าอาบน้ำเย็น

          ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยลดไข้ และทดแทนน้ำที่เสียไปเนื่องจากไข้สูง

          ควรกินอาหารอ่อน น้ำข้าว น้ำหวาน น้ำส้ม น้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มร้อน ๆ

          ใช้ผ้าชุบน้ำ (ควรใช้น้ำอุ่น หรือน้ำก๊อกธรรมดา อย่าใช้น้ำเย็นจัด หรือน้ำแข็ง) เช็ดตัวเวลามีไข้สูง

การใช้ยารักษาตามอาการ ดังนี้

1.สำหรับผู้ใหญ่และเด็กโต (อายุมากกว่า 5 ขวบ)

          ถ้ามีไข้สูง ให้พาราเซตามอล (ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 19 ปี ควรหลีกเลี่ยงการใช้แอสไพริน เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรย์ซินโดรม ซึ่งมีอันตรายร้ายแรงได้) ควรให้ยาลดไข้เป็นครั้งคราวเฉพาะเวลามีไข้สูง ถ้ามีไข้ต่ำ ๆ หรือไข้พอทนได้ ก็ไม่จำเป็นต้องกิน

          ถ้ามีอาการน้ำมูกไหลมากจนสร้างความรำคาญ ให้ยาแก้แพ้ เช่น คลอร์เฟนิรามีน ใน 2-3 วันแรก เมื่อทุเลาแล้วควรหยุดยา หรือกรณีที่มีอาการไม่มาก ก็ไม่จำเป็นต้องให้ยานี้
          ถ้ามีอาการไอ จิบน้ำอุ่นมาก ๆ หรือจิบน้ำผึ้งผสมมะนาว (น้ำผึ้ง 4 ส่วน น้ำมะนาว 1 ส่วน) ถ้าไอมากลักษณะไอแห้ง ๆ ไม่มีเสมหะ ให้ยาระงับการไอ

2.สำหรับเด็กเล็กและทารก

          ถ้ามีไข้ให้พาราเซตามอลชนิดน้ำเชื่อม

          ถ้ามีน้ำมูกมาก ให้ใช้ลูกยางเบอร์ 2 ดูดน้ำมูกออกบ่อย ๆ (ถ้าน้ำมูกข้นเหนียว ควรใช้น้ำเกลือหยอดในจมูกก่อน) หรือใช้กระดาษทิชชูพันเป็นแท่งสอดเข้าไปเช็ดน้ำมูก (ถ้าน้ำมูกข้นเหนียว ควรชุบน้ำสุกหรือน้ำเกลือพอชุ่มก่อน)

          ถ้ามีอาการไอ ให้จิบน้ำอุ่นมาก ๆ ถ้ามีอาการอาเจียนเวลาไอ ไม่จำเป็นต้องให้ยาแก้อาเจียน ควรแนะนำให้ป้อนนมและอาหารทีละน้อย แต่บ่อยครั้งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนจะเข้านอน

3.ยาปฏิชีวนะไม่จำเป็นต้องให้

          เพราะไม่ได้ผลต่อการฆ่าเชื้อหวัด ซึ่งเป็นไวรัส (อาการที่สังเกตได้คือ มีน้ำมูกใส ๆ หรือสีขาว) ยกเว้นในรายที่สงสัยว่าจะมีอาการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำเติม เช่น มีไข้ทุกวันติดต่อกันเกิน 4 วัน มีน้ำมูก หรือเสมหะข้นเหลืองหรือเขียวเกิน 24 ชั่วโมง หรือปวดหู หูอื้อ

4.ถ้าไอมีเสมหะเหนียว

          ให้งดยาแก้แพ้ และยาระงับการไอ และให้ดื่มน้ำอุ่นมาก ๆ วันละ 10-15 แก้ว

5.ถ้ามีอาการหอบ หรือนับการหายใจได้เร็วกว่าปกติ

          เด็กอายุ 0-2 เดือนหายใจมากกว่า 60 ครั้ง/นาที อายุ 2เดือนถึง 1 ขวบ หายใจมากกว่า 50 ครั้ง/นาที อายุ 1-5 ขวบหายใจมากกว่า 40 ครั้ง/นาที หรือมีไข้นานเกิน 7 วัน ควรส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว อาจเป็นปอดอักเสบหรือภาวะรุนแรงอื่น ๆ ได้ อาจต้องเอกซเรย์ ตรวจเลือด ตรวจเสมหะ เป็นต้น

          "ซูโดเอฟีดรีน" ไม่ใช่ยาแก้หวัดจากการติดเชื้อไวรัส การดูแลและป้องกันตนเอง คือการรักษา "หวัด" ดีที่สุด

 ที่มา : http://health.kapook.com/view41551.html

 

 
Menu
หน้าแรก
เครือข่ายผู้บริโภค
ศูนย์ราชการสะดวก
สื่อวิทยุสมาคม
ข่าวสาร
สรุปกิจกรรม 2566
สรุปกิจกรรม 2565
สรุปกิจกรรม 2564
สรุปกิจกรรม 2563
สรุปกิจกรรม 2561
สรุปกิจกรรม 2560
สรุปกิจกรรม 2559
สรุปกิจกรรม 2558
สรุปกิจกรรม 2557
สรุปกิจกรรม 2556
สรุปกิจกรรม 2555
สรุปกิจกรรม 2554
สรุปกิจกรรม 2553
สรุปกิจกรรม 2562
การร้องเรียน
ติดต่อเรา
แผนผังเว็บไซต์
สถิติเรื่องร้องเรียน
สมัครสมาชิก
เว็บบอร์ด
สถิติ
เปิดเว็บไซต์ 09/12/2010
ปรับปรุง 24/04/2024
สถิติผู้เข้าชม1,743,922
Page Views2,009,088
« April 2024»
SMTWTFS
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930    
view