ใช้นมข้นหวานเลี้ยงทารก เสี่ยงขาดโปรตีน ภูมิคุ้มกันต่ำ
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เตือน นมข้นหวานห้ามนำไปเลี้ยงทารกโดยเด็ดขาด เนื่องจากมีสารอาหาร ไม่เพียงพอกับการเจริญเติบโตของทารก และมีปริมาณน้ำตาลสูงมาก หากนำมาเลี้ยงทารก จะทำให้เกิด ภาวะขาดโปรตีน พลังงาน และสารอาหาร ส่งผลให้มีภูมิคุ้มกันต่ำ ติดเชื้อง่าย และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต ย้ำทารกแรกเกิด ควรเลี้ยงด้วยนมแม่อย่างเดียวนาน 6 เดือน ดีที่สุด
นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์คุณแม่ท่านหนึ่ง ต้องเสียลูกน้อยวัย 3 เดือน ซึ่งอยู่ระหว่างการหาสาเหตุแต่จากข้อมูลเบื้องต้น พบว่า ใช้นมข้นหวานเลี้ยงเด็กทารกแทนนมแม่ เนื่องจากทางบ้านไม่มีเงินซื้อนม กรมอนามัยได้ย้ำเตือน และให้ข้อมูลมาตลอดว่า นมแม่นั้นเข้มข้นด้วยสารอาหาร สารภูมิคุ้มกัน ฮอร์โมน และสารอาหารต่าง ๆ ที่เหมาะกับการเจริญเติบโต และช่วยพัฒนาสมองของทารกวัยเกิด จนถึงอายุ 6 เดือน ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย ไม่ต้องเสียเงินซื้อ และช่วยให้แม่ไม่มีน้ำหนักคงค้าง องค์การอนามัยโลกจึงแนะนำทารกแรกเกิดจนถึงอายุ 6 เดือน ควรได้กินนมแม่อย่างเดียว อีกทั้ง นมข้นหวาน ไม่ควรนำมาเลี้ยงทารก เนื่องจากมีส่วนประกอบหลักแค่ไขมัน น้ำตาล โซเดียม ต่างจากนมแม่ที่มีสารอาหารมากกว่า และนมผงดัดแปลงสำหรับเด็ก ซึ่งเป็นนมสำหรับเลี้ยงเด็กโดยเฉพาะ การนำนมข้นหวานมาใช้เลี้ยงทารก หรือหวังเสริมคุณค่าทางอาหารแทนนมแม่ ทำให้ทารกเสี่ยงต่อภาวะขาดโปรตีน พลังงานและสารอาหาร ส่งผลให้มีภูมิคุ้มกันต่ำ ติดเชื้อง่าย และเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
“ทั้งนี้ นมแม่เป็นอาหารที่มีคุณค่าที่สุดสำหรับทารก เพราะมีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตทางกาย พัฒนาสมอง จอประสาทตา รวมทั้งเป็นอาหารที่ย่อยง่าย ถูกสร้างมาให้เหมาะสมที่สุดกับสภาพร่างกายของทารกในแต่ละช่วงอายุ ช่วยให้เด็กมีสุขภาพแข็งแรง ส่งเสริมทั้งสติปัญญา อารมณ์ นอกจากนี้ กรมอนามัยแนะนำ 9 แนวทางการส่งเสริมเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และให้อาหารตามวัยแก่ทารกและเด็กอย่างเหมาะสม คือ 1) ให้นมแม่อย่างเดียวตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 เดือน ไม่ต้องให้อาหารอื่นแม้แต่น้ำ 2) เริ่มให้อาหารตามวัยที่มีสารอาหารครบ 5 หมู่ทุกวัน ตามวัยหลังอายุ 6 เดือน ควบคู่กับนมแม่ 3) เพิ่มจำนวน มื้ออาหารตามวัยเมื่ออายุลูกเพิ่มขึ้น จนครบ 3 มื้อ เมื่ออายุ 9-11 เดือน 4) ค่อย ๆ เพิ่มปริมาณ และความหยาบของอาหารขึ้นตามอายุ 5) ให้อาหารรสธรรมชาติ หลีกเลี่ยงการปรุงแต่งรส 6) ให้อาหารสะอาดและปลอดภัย 7) ให้ดื่มน้ำสะอาด หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มรสหวาน และน้ำอัดลม 8) ฝึกวิธีดื่มกินให้สอดคล้องกับพัฒนาการตามวัยและ 9) เล่นกับลูกสร้างความผูกพัน หมั่นติดตามการเจริญเติบโตและพัฒนาการ” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เตือน นมข้นหวานห้ามนำไปเลี้ยงทารกโดยเด็ดขาด เนื่องจากมีสารอาหาร ไม่เพียงพอกับการเจริญเติบโตของทารก และมีปริมาณน้ำตาลสูงมาก หากนำมาเลี้ยงทารก จะทำให้เกิด ภาวะขาดโปรตีน พลังงาน และสารอาหาร ส่งผลให้มีภูมิคุ้มกันต่ำ ติดเชื้อง่าย และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต ย้ำทารกแรกเกิด ควรเลี้ยงด้วยนมแม่อย่างเดียวนาน 6 เดือน ดีที่สุด
นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์คุณแม่ท่านหนึ่ง ต้องเสียลูกน้อยวัย 3 เดือน ซึ่งอยู่ระหว่างการหาสาเหตุแต่จากข้อมูลเบื้องต้น พบว่า ใช้นมข้นหวานเลี้ยงเด็กทารกแทนนมแม่ เนื่องจากทางบ้านไม่มีเงินซื้อนม กรมอนามัยได้ย้ำเตือน และให้ข้อมูลมาตลอดว่า นมแม่นั้นเข้มข้นด้วยสารอาหาร สารภูมิคุ้มกัน ฮอร์โมน และสารอาหารต่าง ๆ ที่เหมาะกับการเจริญเติบโต และช่วยพัฒนาสมองของทารกวัยเกิด จนถึงอายุ 6 เดือน ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย ไม่ต้องเสียเงินซื้อ และช่วยให้แม่ไม่มีน้ำหนักคงค้าง องค์การอนามัยโลกจึงแนะนำทารกแรกเกิดจนถึงอายุ 6 เดือน ควรได้กินนมแม่อย่างเดียว อีกทั้ง นมข้นหวาน ไม่ควรนำมาเลี้ยงทารก เนื่องจากมีส่วนประกอบหลักแค่ไขมัน น้ำตาล โซเดียม ต่างจากนมแม่ที่มีสารอาหารมากกว่า และนมผงดัดแปลงสำหรับเด็ก ซึ่งเป็นนมสำหรับเลี้ยงเด็กโดยเฉพาะ การนำนมข้นหวานมาใช้เลี้ยงทารก หรือหวังเสริมคุณค่าทางอาหารแทนนมแม่ ทำให้ทารกเสี่ยงต่อภาวะขาดโปรตีน พลังงานและสารอาหาร ส่งผลให้มีภูมิคุ้มกันต่ำ ติดเชื้อง่าย และเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
“ทั้งนี้ นมแม่เป็นอาหารที่มีคุณค่าที่สุดสำหรับทารก เพราะมีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตทางกาย พัฒนาสมอง จอประสาทตา รวมทั้งเป็นอาหารที่ย่อยง่าย ถูกสร้างมาให้เหมาะสมที่สุดกับสภาพร่างกายของทารกในแต่ละช่วงอายุ ช่วยให้เด็กมีสุขภาพแข็งแรง ส่งเสริมทั้งสติปัญญา อารมณ์ นอกจากนี้ กรมอนามัยแนะนำ 9 แนวทางการส่งเสริมเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และให้อาหารตามวัยแก่ทารกและเด็กอย่างเหมาะสม คือ 1) ให้นมแม่อย่างเดียวตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 เดือน ไม่ต้องให้อาหารอื่นแม้แต่น้ำ 2) เริ่มให้อาหารตามวัยที่มีสารอาหารครบ 5 หมู่ทุกวัน ตามวัยหลังอายุ 6 เดือน ควบคู่กับนมแม่ 3) เพิ่มจำนวน มื้ออาหารตามวัยเมื่ออายุลูกเพิ่มขึ้น จนครบ 3 มื้อ เมื่ออายุ 9-11 เดือน 4) ค่อย ๆ เพิ่มปริมาณ และความหยาบของอาหารขึ้นตามอายุ 5) ให้อาหารรสธรรมชาติ หลีกเลี่ยงการปรุงแต่งรส 6) ให้อาหารสะอาดและปลอดภัย 7) ให้ดื่มน้ำสะอาด หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มรสหวาน และน้ำอัดลม 8) ฝึกวิธีดื่มกินให้สอดคล้องกับพัฒนาการตามวัยและ 9) เล่นกับลูกสร้างความผูกพัน หมั่นติดตามการเจริญเติบโตและพัฒนาการ” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว
https://www.thaihealth.or.th/%e0%b9%83%e0%b8%8a%e0%b9%89%e0%b8%99%e0%b8%a1%e0%b8%82%e0%b9%89%e0%b8%99%e0%b8%ab%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%a5%e0%b8%b5%e0%b9%89%e0%b8%a2%e0%b8%87%e0%b8%97%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%81/