http://www.consumerprotection.or.th
สร้างเว็บไซต์Engine by iGetWeb.com 
 สิทธิและหน้าที่ของผู้บริโภค  เกี่ยวกับสมาคม  ผลการดำเนินงาน  สมัครสมาชิก  ติดต่อเรา
ค้นหา  ประเภทการค้นหา   
การโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพทางสื่อออนไลน์
การใช้ยาอย่างสมเหตุผล
สาระน่ารู้เกี่ยวกับผู้บริโภค
ด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ
ด้านบริการทางการแพทย์
ด้านอสังหาริมทรัพย์
ด้านอื่น ๆ
บทความ
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง




 

ป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้ด้วยวัคซีน

ป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้ด้วยวัคซีน

เป็นที่ทราบกันดีว่า มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 2 ของมะเร็งในผู้หญิงไทย รองมาจากมะเร็งเต้านม และการป้องกันด้วยการ ฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส HPV จึงเป็นแนวทาง การป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด อย่างไรก็ตาม การตรวจคัดกรองเป็นประจำทุกปี นับว่าเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญที่สุด

ผศ.พญ.อาบอรุณ เลิศขจรสุข ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ได้ให้ความรู้ "มะเร็งปากมดลูก"ในนิตยสารวาไรตี้เพื่อสุขภาพ @Rama ว่า มะเร็งปากมดลูก เป็นมะเร็งที่พบได้ลำดับต้นๆ ในกลุ่มมะเร็งที่พบในผู้หญิงไทย โดยสาเหตุสำคัญเกิดจากการติดเชื้อ HPV หรือ Human Papilloma Virus อย่างที่ทราบกันดีว่า ในปัจจุบันมีวิธีการป้องกันและตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ทั้งวิธีการทำแป๊บสเมียร์(Pap smear) หรือ เอชพีวี เทสท์ (HPV test) รวมทั้งมีวัคซีนสำหรับป้องกัน หรือที่เรียกว่า HPV vaccine ที่ฉีดเพื่อสร้างเสริมให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่อการติดเชื้อ HPV เป็นการป้องกันแบบปฐมภูมิ

ชนิดของวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกที่ใช้กันในปัจจุบันมี 2 ชนิด ได้แก่ 1) วัคซีน HPV ชนิด 4 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์ 6, 11, 16 และ 18 ป้องกันทั้งมะเร็งปากมดลูกที่เกิดจากเชื้อ HPV สายพันธุ์ 16 และ 18 รวมทั้งป้องกันหูดบริเวณอวัยวะเพศที่เกิดจากเชื้อ HPV สายพันธุ์ 6 และ 112) วัคซีน HPV ชนิด 2 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์ 16 และ 18 ป้องกันมะเร็งปากมดลูก ที่เกิดจากเชื้อ HPV สายพันธุ์ 16 และ 18 วัคซีนทั้งสองชนิดนี้มีสายพันธุ์ HPV 16 และ 18 (ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกในสตรีทั่วโลกประมาณร้อยละ 70) ผสมกับสารประกอบเสริม ซึ่งช่วยเพิ่มศักยภาพในการ กระตุ้นภูมิคุ้มกัน

มีการแนะนำให้ฉีดวัคซีนแก่เด็กวัยรุ่นหญิง ผู้หญิงอายุ 9-26 ปี (ช่วงที่ดีที่สุดคือช่วงอายุ11-15 ปี เพราะพบว่าเป็นอายุที่เหมาะสมและได้ประโยชน์สูงสุด เนื่องจากเป็นอายุก่อนเริ่มมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก ที่ยังไม่ติดเชื้อ HPV และพบว่ามีระดับภูมิคุ้มกันสูงกว่า 2 เท่าเมื่อเปรียบเทียบกับการฉีดในช่วงอายุ 16-26 ปี) ส่วนสตรีที่มีอายุมากกว่า 26 ปี ยังไม่มีข้อมูลด้านประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อ HPV สำหรับการฉีดวัคซีนเพื่อกระตุ้นซ้ำนั้น ก็ยังไม่มีข้อมูลว่าควรฉีดเมื่อไร ข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบันพบว่าระดับ Anti-Body ยังคงป้องกันการติดเชื้อ HPV ได้นานอย่างน้อย 5.5 ปี นอกจากนี้ยังแนะนำให้ฉีดวัคซีน HPV ชนิด 4 สายพันธุ์ แก่ผู้ชายที่มีอายุ 19-26 ปี โดยเฉพาะกลุ่มชายรักร่วมเพศเพื่อป้องกันการติดเชื้อบริเวณทวารหนัก และการเป็นมะเร็งทวารหนักเนื่องจากมีความเสี่ยงสูงมากต่อการติดเชื้อแล้วเป็นมะเร็งบริเวณอวัยวะเพศ

มีผลการศึกษาเกี่ยวกับวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกว่ามีความปลอดภัยสูงกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้แรงกว่าการติดเชื้อ HPV ตามธรรมชาติ และมีประสิทธิภาพสูงมากอย่างมีนัยสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อ HPV จากเชื้อ HPV สายพันธุ์เดียวกับวัคซีนที่ฉีด อย่างไรก็ตาม การตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูกยังคง มีความจำเป็นอยู่ เนื่องจากวัคซีน HPV สายพันธุ์ 16 และ 18 สามารถครอบคลุมเชื้อ HPV สายพันธุ์ 16 และ 18 อันเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกได้ประมาณร้อยละ 70 ถึงแม้ว่าจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคมะเร็งที่เกิดจากเชื้อ HPV สายพันธุ์ 16 และ 18 ได้สูงถึงร้อยละ 99-100 ก็ตาม

นอกจากนี้ยังมีข้อมูลการศึกษาติดตามภายหลัง การฉีดวัคซีนตั้งแต่ปีแรกจนถึง 5-8.5 ปี พบว่าเมื่อฉีดให้ผู้ที่ไม่เคยมีการติดเชื้อ HPV มาก่อน วัคซีนทั้งสองชนิด ก็มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการติดเชื้อ HPV ที่เกิดจากสายพันธุ์ที่บรรจุในวัคซีน และป้องกันการคงอยู่ของเชื้อ ภายหลังที่มีการติดเชื้อได้ประมาณร้อยละ 90-96 และข้อมูลเบื้องต้นยังพบว่า วัคซีนสามารถป้องกันการติดเชื้อ HPV ข้ามสายพันธุ์ (สายพันธุ์ 31, 33, 45, 52 และ 58) จากที่บรรจุในวัคซีนได้ในระดับหนึ่งด้วย ถึงแม้ว่าจะป้องกันการติดเชื้อ HPV ได้ แต่ไม่สามารถขจัดการติดเชื้อที่มีอยู่ หรือรักษาโรคที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อได้การฉีดวัคซีน ต้องฉีดเข้ากล้ามทั้งหมด 3 เข็ม ซึ่งแต่ละยี่ห้อจะมีการฉีดแตกต่างกัน เช่น ฉีดทุก 0, 2 และ 6 เดือน และ ฉีดทุก 0, 1 และ 6 เดือน เนื่องจากเชื้อเอชพีวีติดได้จากเพศสัมพันธ์ จึงควรฉีดตั้งแต่ก่อนมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก จึงจะได้ประโยชน์สูงสุด วัคซีนนี้สามารถป้องกันเชื้อได้นานเกือบ 10 ปี แต่เนื่องจากเพิ่งคิดค้นวัคซีนได้ประมาณ10 ปี จึงยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่าหลังจากนั้นจะต้องมีการฉีดกระตุ้นหรือไม่

อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนชนิดนี้ สามารถป้องกันได้เพียง 2 สายพันธุ์ที่พบบ่อยเท่านั้น ซึ่งคาดว่าครอบคลุมการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้ 70-90% แต่ใช่ว่า จะไม่ก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูกได้ เพราะยังมีโอกาสที่สายพันธุ์อื่นจะมาสัมผัสจนก่อให้เกิดโรคได้ จึงต้องป้องกันโดยการตรวจภายใน ร่วมกับการตรวจเช็คมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอทุก 1-2 ปี

สิ่งสำคัญก็คือ การตรวจคัดกรองเป็นประจำทุกปี ย้ำ...คุณผู้หญิงหลังมีเพศสัมพันธ์แล้ว ควรได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ซึ่งหากตรวจพบมะเร็งในระยะเริ่มต้นจะได้รีบรักษาให้หายก่อนจะกลายเป็นมะเร็งปากมดลูกซึ่งรักษายาก

http://www.thaihealth.or.th/Content/43352-ป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้ด้วยวัคซีน.html

Tags :

 
Menu
หน้าแรก
เครือข่ายผู้บริโภค
ศูนย์ราชการสะดวก
สื่อวิทยุสมาคม
ข่าวสาร
สรุปกิจกรรม 2566
สรุปกิจกรรม 2565
สรุปกิจกรรม 2564
สรุปกิจกรรม 2563
สรุปกิจกรรม 2561
สรุปกิจกรรม 2560
สรุปกิจกรรม 2559
สรุปกิจกรรม 2558
สรุปกิจกรรม 2557
สรุปกิจกรรม 2556
สรุปกิจกรรม 2555
สรุปกิจกรรม 2554
สรุปกิจกรรม 2553
สรุปกิจกรรม 2562
การร้องเรียน
ติดต่อเรา
แผนผังเว็บไซต์
สถิติเรื่องร้องเรียน
สมัครสมาชิก
เว็บบอร์ด
สถิติ
เปิดเว็บไซต์ 09/12/2010
ปรับปรุง 27/04/2024
สถิติผู้เข้าชม1,746,471
Page Views2,011,654
« May 2024»
SMTWTFS
   1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
view