เร่งขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบยา รองรับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
พลเอก ฉัตรชัย เผย คณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ เร่งขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบยา รองรับการปฏิรูประบบสาธารณสุข ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงยาจำเป็นที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง ใช้ยาสมเหตุผล ประเทศมีความมั่นคงด้านยา อย่างยั่งยืน
วันนี้ (20 เมษายน 2561) ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 1/2561 ว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาคณะกรรมการฯ ภายใต้รัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีผลการดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ 1) ปรับปรุงบัญชียาหลักแห่งชาติแล้วเสร็จ 4 ฉบับ ส่งผลให้เพิ่มการเข้าถึงยาจำเป็น เช่น วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก ยารักษาตับอักเสบซี ยาสำหรับผู้ป่วยติดเชื้อเอช ไอ วี เป็นต้น รวมทั้งอยู่ระหว่างพิจารณาวัคซีนป้องกันโรคฮิบ เพื่อใช้ในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคในปี 2562 2) กำหนดราคากลางยาเพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายด้านยาของภาครัฐ รวม 667 รายการ ส่งผลให้ประหยัดงบประมาณในปี 2561 ถึง 31,000 ล้านบาท 3) ส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผล ทั้งส่วนผู้ประกอบวิชาชีพและประชาชนผู้ใช้ยา โดยประกาศนโยบายโรงพยาบาลส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผล และเกณฑ์จริยธรรมว่าด้วยการส่งเสริมการขายยา รวมทั้งพัฒนาระบบการใช้ยาอย่างสมเหตุผลสู่งานประจำ 4) ผลักดันให้มียาสามัญเข้าสู่ตลาดเพื่อทดแทนยาต้นแบบ เพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านยาลงอย่างน้อย 3,000 ล้านบาท และเพิ่มการเข้าถึงยาใน 6 กลุ่มโรค ได้แก่ โรคสมองเสื่อม ลมชัก แพ้อากาศ โรคติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี โรคเอดส์ และโรคความดันหลอดเลือดปอดสูง ซึ่งในปี 2561 ดำเนินการแล้วเสร็จ 13 ตัวยา (39 ทะเบียน) 5) พัฒนาระบบการจัดการปัญหายาสเตอรอยด์และเภสัชเคมีภัณฑ์ โดย ยกร่างกฎหมายรวม 4 ฉบับ เพื่อควบคุม กำกับดูแล ไม่ให้มีการนำยาสเตอรอยด์และเภสัชเคมีภัณฑ์ไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ค่าใช้จ่ายด้านยาที่มีมูลค่าสูงถึง 160,000 ล้านบาท (41% ของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ) รายการยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ 37% ไม่สามารถผลิตได้ในประเทศ และวิกฤติเชื้อดื้อยาจากการใช้ยาไม่สมเหตุผลทั้งในสถานพยาบาล ชุมชนและภาคเกษตรกรรม คณะกรรมการฯ จึงเร่งขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบยา 5 ด้าน ซึ่งเป็นการรองรับการปฏิรูประบบสาธารณสุข ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยมุ่งเน้นการเพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรมผลิตยาในประเทศ การควบคุมค่าใช้จ่ายด้านยา เพิ่มการเข้าถึงยาจำเป็น และส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผล เพื่อให้บรรลุเป้าหมายภายใน 5 ปี ค่าใช้จ่ายด้านยาลดลงอย่างน้อย 20,000 ล้านบาท มีฐานข้อมูลด้านยาที่เข้าถึงง่าย เป็นปัจจุบัน ถูกต้อง น่าเชื่อถือ ครอบคลุมข้อมูลสำหรับประชาชน บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ประกอบการ หน่วยงานกำกับดูแลและผู้จัดซื้อยา รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับระบบควบคุมยาผ่านการประเมินศักยภาพองค์กรจากองค์การอนามัยโลก
พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ กล่าวในตอนท้ายว่า นอกจากการดำเนินการข้างต้นแล้ว คณะกรรมการฯ จะพิจารณามาตรการต่าง ๆ เพิ่มเติม เพื่อเร่งขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบยา ให้บรรลุวิสัยทัศน์ 20 ปี คือ “ประชาชนเข้าถึงยาจำเป็นที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง ใช้ยาสมเหตุผล ประเทศมีความมั่นคงด้านยา อย่างยั่งยืน
https://oryor.com/oryor2015/news-update-detail.php?cat=&id=1266