ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนเรื่อง “รัฐบาลกับสุขภาพจิตคนกรุง และวิธีคลายเครียดอย่างสร้างสรรค์” พบคนกรุงเครียดมากขึ้นในรอบ 3 เดือน เรื่องข้าวของแพงและค่าครองชีพสูง
วันที่ 10 ตุลาคมนี้ เป็นวันสุขภาพจิตโลก ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนเรื่อง “รัฐบาลกับสุขภาพจิตคนกรุง และวิธีคลายเครียดอย่างสร้างสรรค์” โดยเก็บข้อมูลกับประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ได้กลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้นจำนวน 1,746 คน
พบว่า เรื่องที่ทำให้คนกรุงเทพฯ เครียดและวิตกกังวลมากที่สุดในช่วง 3 เดือนนี้ คือ ข้าวของราคาแพงขึ้น ค่าครองชีพสูงขึ้น คิดเป็นร้อยละ 39.3 (เพิ่มขึ้นจากการสำรวจปี 2555 ร้อยละ 10.7) รองลงมาคือ การจราจรติดขัดคิดเป็นร้อยละ 11.8 (ลดลงร้อยละ 0.6) และการบริหารประเทศของรัฐบาล นโยบายของรัฐบาลคิดเป็นร้อยละ 10.3 (เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1)
ส่วนปัญหาที่รู้สึกเครียด และวิตกกังวลในข้างต้น ส่งผลให้สุขภาพจิตเสียมากน้อยเพียงใด ร้อยละ 74.9 บอกว่ามากถึงมากที่สุด ขณะที่ร้อยละ 25.1 บอกว่าน้อยถึงน้อยที่สุด สำหรับเรื่องที่อยากให้รัฐบาลแก้ปัญหามากที่สุดในขณะนี้ เพื่อทำให้สุขภาพจิตของคนกรุงเทพฯ ดีขึ้นคือ แก้ปัญหาสินค้าราคาแพง (ร้อยละ 43.1) รองลงมาคือความขัดแย้งทางการเมืองทำให้สังคมแตกแยก (ร้อยละ 21.4) และการทุจริตคอร์รัปชั่น (ร้อยละ 15.0) โดยเมื่อถามถึงความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลในการแก้ปัญหาดังกล่าวข้างต้นพบว่า ร้อยละ 73.6 เชื่อมั่นน้อยถึงน้อยที่สุด ขณะที่ ร้อยละ 26.4 เชื่อมั่นมากถึงมากที่สุด
ขณะที่ คนในกรุงเทพฯ เสี่ยงที่จะมีปัญหาทางสุขภาพจิตมากกว่าคนในต่างจังหวัด พบว่า ร้อยละ 56.8 เห็นว่ามีมากกว่า ขณะที่ร้อยละ 38.2 นอกจากนั้น ยังพบว่า ปัจจุบันนี้ ข่าวการเมืองทำให้ท่านเครียดใช่หรือไม่” ร้อยละ 77.8 บอกว่าใช่ ในจำนวนนี้ ร้อยละ 41.0 เห็นว่าใช่แต่จำเป็นต้องติดตาม และร้อยละ 36.8 เห็นว่าใช่จึงพยายามหลีกเลี่ยงเท่าที่จะทำได้
ส่วนวิธีคลายเครียดอย่างสร้างสรรค์ ที่คนกรุงเทพฯ มักทำมากที่สุดเพื่อลดความเครียดคือ คิดบวกอยู่เสมอๆ มองโลกในแง่ดี (ร้อยละ 48.9) รองลงมาคือ ออกกำลังกาย (ร้อยละ 35.1) ทำงานอดิเรกเช่น ปลูกต้นไม้ ดูหนัง (ร้อยละ 32.9) เล่นสังคมออนไลน์ (ร้อยละ 24.9) และเข้าวัด ฟังเทศน์ ทำบุญ (ร้อยละ 18.8)/
ที่มา: เว็บไซต์ศูนย์ข่าวแปซิฟิก