กรมสุขภาพจิต แนะ 10 วิธีดูแลสภาพจิตใจของผู้ประสบภัยน้ำท่วม หลังจากประเมินสุขภาพจิตพบว่า มีความเครียดสูง พร้อมเร่งช่วยเหลือฟื้นฟูจิตใจ
นายแพทย์เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า สถานการณ์น้ำท่วมขณะนี้ ส่งผลให้ผู้ประสบภัยเกิดความเครียดกันมากขึ้นซึ่งจากการประเมินสุขภาพจิตผู้ประสบภัยล่าสุด จำนวน 3,838 ราย พบ มีความเครียดสูง 208 ราย เครียดปานกลาง 397 ราย ซึมเศร้า 8 ราย และเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย 1 ราย ซึ่งกรมสุขภาพจิตได้จัดทีมช่วยเหลือเยียวยาจิตใจผู้ประสบภัย หรือทีม MCATT (Mental Health Crisis Assessment and Treatment Team) ทีมีครอบคลุมอยู่ทุกอำเภอ ทำงานเชิงรุกร่วมกับทีมช่วยเหลือทางกาย เพื่อให้การดูแลช่วยเหลือและฟื้นฟูจิตใจผู้ประสบภัยน้ำท่วมในกลุ่มเป้าหมายหลัก ได้แก่ ผู้ที่มีประวัติการรักษาโรคทางจิตเวช / ใช้สารเสพติด ผู้สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก/ทรัพย์สินอย่างมาก ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง/ผู้พิการ ผู้สูงอายุและเด็ก กลุ่มผู้ที่ต้องการบริการด้านสุขภาพจิต ตลอดจนช่วยเหลือเยียวยาจิตใจครอบครัวผู้เสียชีวิต และผู้สูญหายทุกราย โดยจะมีการติดตามอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องต่อไปเป็นระยะเวลา 3 เดือน
ทั้งนี้ กรมสุขภาพจิตได้เตรียมแผนรับมือและการเตรียมความพร้อมด้านการดูแลสุขภาพจิตของผู้ประสบภัย ได้แก่แผนระยะสั้น1. การเตรียมความพร้อมทีม MCATT ให้สามารถช่วยเหลือเยียวยาจิตใจผู้ประสบภัยอย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุม 2. การเตรียมพร้อมด้านวัสดุ อุปกรณ์ เวชภัณฑ์ให้เพียงพอต่อการให้การช่วยเหลือ3. เน้นการบูรณาการด้านการดำเนินงานด้านวิกฤตสุขภาพจิตร่วมกับทีมให้การช่วยเหลือทางกาย และหน่วยงานให้การช่วยเหลืออื่นๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน 4. จัดให้มีการดำเนินการซ้อมแผนเตรียมความพร้อมในการดูแลด้านสุขภาพจิตในสถานการณ์วิกฤตเป็นประจำอย่างต่อเนื่องทุกปี อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
แผนระยะยาว ได้แก่ 1. สร้างเครือข่ายในการให้การดูแลด้านสุขภาพจิตในชุมชนให้เข้มแข็ง 2. สื่อสารประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนสามารถมีความรู้ด้านสุขภาพจิตในสถานการณ์วิกฤตและสามารถ เข้าถึงบริการได้อย่างทันท่วงที 3. การเตรียมความพร้อมด้านดูแลสุขภาพจิตตั้งแต่วัยเด็กโดยการบูรณาการร่วมกับสถานศึกษา 4. การพัฒนาศักยภาพทีม MCATT อย่างต่อเนื่อง 5. การพัฒนาสื่อ เทคโนโลยีและระบบสารสนเทศให้มีประสิทธิภาพ
อธิบดีกรมสุขภาพจิต ได้แนะแนวทางในการดูแลจิตใจช่วงน้ำท่วม 10 ข้อ ดังนี้ 1. หายใจเข้าออกช้าๆ 2-3 นาที เพื่อทำให้ออกซิเจนเข้าสู่สมองแล้วความเครียดจะลดลง 2. การนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอ จะช่วยทำให้เกิดการตัดสินใจที่ดีขึ้น หากต้องติดตามข้อมูลข่าวสารให้ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน 3. การยืดเหยียดในท่าที่ผ่อนคลายจะช่วยให้การนอนหลับได้ดีขึ้น 4. ความเครียดทำให้เรารับฟังกันน้อยลงจึงต้องดูแลตัวเองด้วย 5. แปลงความกังวลเป็นการลงมือทำ รวมพลังครอบครัวและชุมชนรับกับสถานการณ์วิกฤตที่เกิดขึ้น 6. ไม่ด่า ไม่ว่า ไม่ทับถม อย่าให้ความหวังดีเป็นความขัดแย้งและทำร้ายกัน 7. ความกังวลใจจะลดลงได้ หากได้ช่วยเหลือผู้อื่น 8. อย่าลืมเวลาเล่น เล่านิทานกับลูกเพราะว่าเด็กก็เครียดเป็น 9. การใส่ใจคนรอบข้างทำให้เราทุกข์น้อยลง 10. แบ่งเวลาทำสมาธิ สวดมนต์ไหว้พระ สร้างความสงบให้จิตใจ
ทั้งนี้ หากไม่ดีขึ้น เช่น นอนไม่หลับ ปวดศีรษะ ใจสั่น ควรปรึกษาแพทย์ที่หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ หรือสถานพยาบาลที่อยู่ใกล้ หรือโทรสายด่วน1323 และหมายเลขอัตโนมัติ 1667 ฟรี ตลอด 24 ชั่วโมง
ที่มา: หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย