ท่องเที่ยว เดินทางไกล ยึดหลัก UP ป้องกันโควิด-19

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข แนะประชาชนท่องเที่ยว เดินทางไกล กินผลไม้ น้ำผลไม้คั้นสดรสเปรี้ยว คลายง่วง พร้อมย้ำยึดหลัก UP ต่อเนื่อง ลดเสี่ยงโควิด-19

นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ช่วงเทศกาลหยุดยาว 13-17 กรกฎาคมที่จะถึงนี้ ประชาชนบางกลุ่มอาจมีแผนการเดินทางไกลท่องเที่ยวข้ามต่างจังหวัด หรือกลับภูมิลำเนา แต่เนื่องจากช่วงนี้เข้าสู่ฤดูฝน ส่งผลให้ในหลายพื้นที่มีฝนตกหนัก ฝนฟ้าคะนอง ขอให้ประชาชนที่ต้องขับรถทางไกลใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่ควรใช้ความเร็วมากเกินไป ซึ่งอาจเพิ่มระยะเวลาการเดินทาง จึงควรวางแผนและเตรียมตัวก่อนออกเดินทางให้ดี โดยก่อนวันเดินทางควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอระหว่างเดินทางควรเลี่ยงเครื่องดื่มชูกำลัง เพราะเครื่องดื่มชูกำลังจะทำให้ร่างกายตื่นตัว ไม่ง่วง แต่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ยิ่งละเลยการพักผ่อน ทำให้ยิ่งอ่อนล้าจนมีอาการมึนงง อีกทั้งยังส่งผลให้หัวใจเต้นเร็ว หายใจถี่ และเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง หลอดเลือดและหัวใจ ตามมาในระยะยาวได้

ผู้ขับรถทางไกลจึงควรเปลี่ยนเป็น ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ 6 – 8 แก้วต่อวัน กินผลไม้สด หรือดื่มน้ำผลไม้คั้นสดรสเปรี้ยวที่เป็นแหล่งวิตามินซี เช่น ส้ม ฝรั่ง มะม่วงดิบ หรือสับปะรด เพราะวิตามินซีจะช่วยต้านความเหนื่อยล้าที่มาจากความเครียด และความกังวลขณะขับรถได้

“ทั้งนี้ ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังคงต้องเฝ้าระวังและป้องกันอย่างต่อเนื่อง จึงขอให้ผู้ที่เดินทางกลับบ้าน หรือเดินทางท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ ยึดหลักป้องกันการติดเชื้อแบบครอบจักรวาล หรือ UP (Universal Prevention) อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันให้มากขึ้น โดยมีหลักดังนี้ 1) สวมหน้ากากป้องกันเมื่ออยู่ในสถานที่ที่มีผู้คนหนาแน่น หรือภายในอาคารที่ไม่สามารถเว้นระยะห่างได้ เช่น ขนส่งสาธารณะ ตลาด หรือสถานที่ที่จัดงานเทศกาล งานประเพณีต่าง ๆ 2) เลือกไปสถานที่ที่มีสัญลักษณ์ CFS, SHA+ แสดง 3) ล้างมือบ่อย ๆ ทุกครั้งก่อนและหลังกินอาหาร หลังเข้าห้องน้ำ ไอ จาม หรือสัมผัสสิ่งของที่ใช้ร่วมกัน 4) หากสงสัยว่ามีความเสี่ยง ควรตรวจตนเองด้วย ATK และปรึกษาสถานพยาบาลใกล้เคียง 5) ผู้ที่ป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจ ให้งดไปร่วมกิจกรรมที่รวมกลุ่มคนในพื้นที่แออัด ให้แยกของใช้ส่วนตัว และปฏิบัติตามคำแนะนำจากแพทย์” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว

https://www.thaihealth.or.th/Content/56333