เตรียมพร้อม Sandbox Safety Zone in school วางมาตรการด้านความปลอดภัยให้แก่ครู นักเรียน
กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ร่วมกับ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เตรียมความพร้อมสำหรับการเรียนการสอนแบบ On Site หรือการจัดการเรียนการสอนที่โรงเรียนรูปแบบปกติ ในโครงการ "โรงเรียน Sandbox Safety Zone in School" (SSS) เพื่อเป็นการช่วยวางมาตรการด้านความปลอดภัยให้แก่นักเรียน ครู และบุคลากรในโรงเรียน
น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า โครงการดังกล่าวเป็นมาตรการเปิดเรียนมั่นใจปลอดภัยไร้โควิด-19 ในโรงเรียนประจำ เช่น โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ และโรงเรียนเอกชนบางแห่งที่มีความพร้อม ซึ่ง ศธ. จะประสานงานกับ สธ. เพื่อเดินหน้าทำโครงการนี้ไปพร้อมกัน เพราะจะต้องมีการลงพื้นที่ตรวจโรงเรียนที่จะประสงค์เข้าโครงการว่าเป็นไปตามมาตรการที่เราได้วางไว้หรือไม่ ทั้งนี้เมื่อครูและบุคลากรทางการศึกษา และนักเรียนที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไปได้รับวัคซีนครบหมดทุกคนแล้วก็จะนำไปสู่การเปิดเรียนในรูปแบบไฮบริด คือการเปิดเรียนที่มีทั้งนักเรียนอยู่ประจำและออนไลน์ แต่ทุกอย่างจะยึดมาตรการความปลอดภัยด้านสุขภาพของนักเรียนเป็นหลัก
ขณะที่ ดร.เกศทิพย์ ศุภวานิช ผู้ตรวจราชการ ศธ.ในฐานะโฆษก ศธ.ฉายภาพโครงการให้เห็นว่า ตนได้รับมอบหมายจาก รมว.ศธ.และดร.สุภัทร จำปาทอง ปลัดศธ.ให้รับผิดชอบดำเนินโครงการดังกล่าวร่วมกับ นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย และ นพ.สราวุฒิ บุญสุข รองอธิบดีกรมอนามัย ซึ่งการเป็นโรงเรียน Sandbox Safety Zone in School จะมีเงื่อนไข 3 ข้อ คือ 1.โรงเรียนประจำ 2.เป็นไปตามความสมัครใจของทุกฝ่าย และ 3.ผ่านการประเมินความพร้อม ซึ่งมีแนวปฏิบัติตามมาตรการดังนี้
รร.ประจำ ที่มีความพร้อมเข้าร่วมโครงการแจ้งความประสงค์ผ่านต้นสังกัด มีการหารือร่วมกับผู้ปกครองและผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการโรคติดต่อของจังหวัด จัดให้มีสถานแยกตัวในโรงเรียน (School Isolation) จัดให้มี Safety Zone ในโรงเรียน มีการติดตามประเมินผลโดยทีมตรวจราชการของ ศธ. และสธ. และ รร.รายงานตามแบบรายงานติดตามผลผ่าน MOECOVID และ Thai Stop Covid Plus ขณะที่นักเรียน ครูและบุคลากรทางการศึกษาที่จะมาเรียนแบบ Onsite จะต้องตรวจ Antigen Test Kit (ATK) ก่อนเข้าโรงเรียน จากนั้นนักเรียนสามารถทำกิจกรรมร่วมกันแบบ Bubble & Seal นักเรียนและครูประเมินความเสี่ยงตัวเองด้วยระบบ 'ไทยเซฟไทย" เป็นประจำ และนักเรียนจะต้องปฏิบัติตามมาตรการสุขภาพส่วนบุคคลอย่างเข้มข้น เช่น วัดอุณหภูมิร่างกาย ล้างมือ สวมใส่หน้ากากตลอดเวลา เว้นระยะห่าง เป็นต้น ครูและบุคลากรในโรงเรียนฉีดวัคซีนครอบคลุมมากกว่า 85%
สำหรับโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ SSS ขณะนี้มีจำนวนทั้งหมด 68 แห่ง ประกอบด้วย รร.สังกัดสำนักบริหารการศึกษาพิเศษ 20 แห่ง รร.สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) 3 แห่ง รร.สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) 1 แห่ง และ รร.สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน (สช.) แบ่งเป็น รร.นานาชาติเอกชน 14 แห่ง รร.เอกชนนักเรียนไทย 12 แห่ง รวม 44 แห่ง
อย่างไรก็ตาม การดำเนินการโครงการดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้อนุมัติให้โรงเรียนที่มีความพร้อมมีการจำกัดคนเข้าออก และสามารถดำเนินการตามมาตรการของ สธ. และศธ.อย่างเคร่งครัด โดยต้องผ่านการอนุมัติจาก ศธ. ก่อน
ทั้งนี้ มีตัวอย่างของโรงเรียนบรมราชินีนาถราชวิทยาลัย จ.ราชบุรี ที่เข้าโครงการ SSS พบว่า ยังไม่มีการติดเชื้อที่เป็นคลัสเตอร์ระบาดใหม่แต่อย่างใด โดยโรงเรียนแห่งนี้มีครูและบุคลากร 100 คน นักเรียน 490 คน แบ่งหอนอนระหว่างนักเรียนชายและหญิง แต่ละหอนอนมีห้อง Study สำหรับการกักตัวนักเรียนกรณีมีนักเรียนเจ็บป่วย และเรือนพยาบาลรองรับได้ 40 คน แม่ครัวจำกัดให้อยู่แต่บริเวณโรงอาหารเท่านั้น คนงานและลูกจ้างให้ปฏิบัติงานภาคสนามห้ามใกล้ชิดกับนักเรียนและอาคารพักนอน รวมถึงผู้ปกครองไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเยี่ยมนักเรียนอย่างเด็ดขาด นอกจากนี้โรงเรียนมีแผนเผชิญเหตุ คือ อาคารที่พักครู หอพักนักเรียน สามารถใช้เป็นโรงพยาบาลสนาม โดยมีสาธารณสุขอำเภอ โรงพยาบาลสุขภาพประจำตำบลคอยสนับสนุนให้ความช่วยเหลือ
ดร.เกศทิพย์ บอกว่า สิ่งสำคัญของโครงการ SSS จะต้องปฏิบัติตามมาตรการและเงื่อนไขต่าง ๆ ที่เรากำหนดไว้อย่างเคร่งครัด อีกทั้งรมว.ศึกษาธิการเองยังได้ย้ำว่า เราต้องคำนึงถึงมาตรการความปลอดภัยของนักเรียน ไม่ควรยึดติดกับตัวเลขว่าจะต้องเปิดเรียนได้แล้วกี่แห่ง แต่จะต้องมุ่งเป้าเรื่องคุณภาพความปลอดภัย อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม ในอนาคต ศธ. จะเสนอให้มีชุมชนและอำเภอ Bubble & Seal ในพื้นที่ที่ไม่มียอดผู้ติดเชื้อแล้ว เพื่อวางแผนให้นักเรียนมาเรียนได้ตามปกติสามารถไปกลับได้
https://www.thaihealth.or.th/Content/55260