กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
เป็นอีกหนึ่งโรคฮิตที่ผู้หญิงเป็นกันเยอะและบ่อยมาก ชนิดที่ว่าเป็นแล้ว รักษาแล้วก็ยังมีโอกาสเป็นซ้ำได้อีกง่ายๆ ทั้งนี้เนื่องจาก ท่อปัสสาวะของผู้หญิงสั้นและอยู่ใกล้ทวารหนัก ซึ่งเป็นแหล่งที่มีเชื้อโรคมาก เชื้อโรคบริเวณดังกล่าว จึงเข้าไปในท่อปัสสาวะของผู้หญิงได้ง่ายกว่าผู้ชาย ผู้หญิงแทบทุกคนมีโอกาสเป็ฯโรคนี้ได้ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยสูงอายุ กระเพาะปัสสาวะอักเสบพบมากในผู้หญิงตั้งครรภ์ หรือผูที่ชอบอั้นปัสสาวะนานๆ ส่วนผู้ชายมีโอกาสเป็ฯโรคนี้น้อยมาก ถ้าพบก็จะมีความผิดปกติอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ต่อมลูกหมากโต ต่อมลูกหมากอักเสบ หรือเคยได้รับการสวนปัสสาวะ เป็นต้น
อาการของกระเพาะปัสสาวะอักเสบ มีอะไรบ้าง...
หากคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่อั้นปัสสาวะบ่อยๆ ลองมาดูกันว่า คุณมีอาการของกระเพาะปัสสาวะอักเสบดังนี้
- ปวดหน่วงบริเวณท้องน้อย
- ปัสสาวะกะปริดกะปรอย (ออกทีละน้อยแต่บ่อยครั้ง)
- มีอาการเหมือนปัสสาวะจะราด เวลาปวดปัสสาวะ
- ปวดท้องเวลาปัสสาวะ
- ปัสสาวะแล้วแต่ยังรู้สึกไม่สุด
- รู้สึกปวดแสบปวดร้อนเวลาปัสสาวะ
- ปัสสาวะมีกลิ่นเหม็น สีมักจะใส แต่บางรายอาจมีเลือดปน หรือมีสีขุ่นเหมือนน้ำล้างเนื้อ
แม้คุณจะมีอาการเพียงแค่ไม่กี่อาการ ก็ควรตั้งข้อสงสัยว่า คุณอาจกำลังเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ทางที่ดีคุณควรรีบรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะหากปล่อยไว้ให้เป็นๆ หายๆ เชื้อโรคอาจลุกลามไปที่ไต ทำให้กลายเป็นกรวยไตอักเสบ เป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ และอาจเป็นไตวายเรื้อรังในที่สุด
สาเหตุของกระเพาะปัสสาวะอักเสบ มีอะไรบ้าง...
- การติดเชื้อ ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย กลุ่มแกรมลบ ซึ่งมีมากในบริเวณทวารหนัก แล้วปนเปื้อนผ่านเข้าไปในท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะ
- การอั้นปัสสาวะ การอั้นปัสสาวะทำให้เชื้อโรคอยู่ในกระเพาะปัสสาวะได้นานจนสามารถแพร่พันธุ์ได้มากขึ้น และเมือกระเพาะปัสสาวะอยู่ในภาวะยืดตัว ความสามารถในการขจัดเชื้อโรคของเยื่อบุผิวกระเพาะปัสสาวะจะลดน้อยลง จึงทำให้เกิดการอักเสบของกระเพาะปัสสาวะได้ง่ายขึ้น
- การตั้งครรภ์ โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ พบมากในผู้หญิงตั้งครรภ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 2-3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์
- การมีเพศสัมพันธ์ ผู้หญิงที่แต่งงานใหม่ หรือการมีเพศสัมพันธ์ อาจมีการขัดเบาแบบกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ซึ่งทางการแพทย์จะเรียกว่า "โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบจากฮันนีมูน" เนื่องจากการมีเพศสัมพันธ์ จะทำให้เชื้อโรคเคลื่อนตัวเข้าไปในท่อปัสสาวะง่ายขึ้น หรือการฟกช้ำจากการมีเพศสัมพันธ์ จะทำให้มีการอักเสบของท่อปัสสาวะ
- ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดต่ำลง มักจะเกิดกับผู้หญิงวัยทอง เนื่องจากเยื่อบุกระเพาะปัสสาวะและเยื่อบุช่องคลอดบางลง ทำให้เชื้อโรคแทรกเข้าไปได้ง่ายขึ้น
การบำบัดด้วยยาปฏิชีวนะมีข้อจำกัดอย่างไรบ้าง
เมื่อพูดถึงยารักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ เชื่อว่าหลายๆ คนคงนึกถึงยาปฏิชีวนะ ถึงแม้ว่ายานี้ เป็ฯยาพื้นฐานในการรักษากระเพาะปัสสาวะอักเสบ สำกรับการแพทย์ตะวันตกก็ตาม แต่อาจไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด สำหรับผู้ป่วย ทั้งนี้เนื่องจากยาปฏิชีวนะจะฆ่าแบคทีเรียที่เป็นมิตรไปพร้อมๆ กับแบคที่เรียที่ก่อให้เกิดอาการอักเสบ หารมีการใช้นาปฏิชีวนะบ่อยๆ ก็จะทำให้เกิดการดื้อยาของเชื้อโรค และส่งผลให้ระบบนิเวศของเชื้อจุลินทรีย์ภายในร่างกายเสียความสมดุล ทำให้เชื้อจุลินทรีย์บางชนิดแพร่พันธุ์เร็วผิดปกติ จนเกิดเป็นโรคได้ ส่วนกระเพาะปัสสาวะอักเสบเรื้อรัง (มีการอักเสบ 3 ครั้งขึ้นไปใน 1 ปี) จะส่งผลให้ภูมิคุ้มกันของระบบทางเดินปัสสาวะต่ำลงเรื่อยๆ ทำให้ง่ายต่อการติดเชื้อ ซึ่งจัดเป็นวงจรที่จะส่งผลกระทบซึ่งกันและกันได้
ที่มา : http://nupynupy.diaryclub.com/20060924/
การรักษาโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ
ยาปฏิชีวนะเป็นยาหลักที่รักษาโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ นอกจากยาปฏิชีวนะแล้วยังต้องใช้ยาบรรเทาอาการเช่น ยาแก้ปวด ยาแก้คลื่นไส้อาเจียน ยาลดอาการปวดแสบเวลาปัสสาวะ
ยาปฏิชีวนะ
- Co-trimoxazole ซึ่งประกอบด้วยยา trimethoprim 80 mg ,sulfamethoxazole 400 mg สามารถรักษาทางเดินปัสสาวะอักเสบจากเชื้อต่างๆได้ยกเว้นเชื้อ pseudomonase ขนาดทีใช้คือ 2 เม็ดวันละ 2 ครั้ง ถ้าเป็นทางเดินกระเพาะปัสสาวะอักเสบที่ไม่มีโรคแทรกซ้อนใช้เวลารักษา 3 วันแต่ถ้าเป็นกรวยไตอักเสบใช้เวลารักษา 10-14 วัน ข้อห้ามใช้คือผู้ป่วยที่มีประวัติแพ้ยา sulfa ข้อควรระวังไม่ควรใช้ยาตัวนี้ร่วมกับยา warfarin, dapsone ,diuretics ,phenytoin , methotrexate, sulfonylureas, zidovudineซึ่งจะทำให้เกิดผลข้างเคียงจากยา ควรหยุดยาเมื่อ มีผื่น ซีด น้ำตาลในเลือดต่ำ
- Ciprofloxacin รักษาเชื้อได้หลายชนิดโดยเฉพาะ pseudomonase ขนาดที่ใช้ 200-500 mg วันละ 2 ครั้ง กระเพาะปัสสาวะใช้เวลารักษา 3 วัน กรวยไตอักเสบใช้เวลา 10-14 วันการกินยาโรคกระเพาะอาหาร ธาตุเหล็ก ธาตุสังกะสี จะลดการดูดซึมของยาทำให้รักษาไม่ได้ผล เมื่อใช้ร่วมกับยา theophyllin,digoxin จะทำให้ยาสองตัวออกฤทธิ์เพิ่มมากขึ้น
- Cephalexin ใช้ขนาด 250-1000มิลิกรัมวันละ 4 ครั้ง ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่แพ้ยา cephalosporin
- Co-amoxiclav ขนาดที่ใช้ 625 มิลิกรัมวันละ 2 ครั้งหรือ 375 มิลิกรัม วันละ 3 ครั้งห้ามใช้ในคนที่แพ้ยา
- Nitrofurantoin (Macrodantin, Furadantin, Macrobid)ขนาดที่ใช้ 50-100 มิลิกรัมวันละ 4 ครั้งห้ามใช้ในคนที่ไตวาย หรือแพ้ยา
- ยาฉีดที่นิยมใช้ได้แก่ Aminoglycoside และ ceftriazone
ยาที่รักษาอาการ
Phenazopyridine เป็นยาลดอาการปวดแสบ อาการปัสสาวะบ่อย ขนาดที่ใช้ 200 มิลิกรัมวันละ 3 ครั้ง ไม่เกิน 2 วัน
ผู้ป่วยที่ต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล
ผู้ป่วยทางเดินปัสสาวะอักเสบที่แข็งแรงและไม่มีโรคแทรกซ้อนไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลผู้ป่วยต่อไปนี้
ควรที่จะรับไว้ในโรงพยาบาลได้แก่
- ผู้ป่วยที่มีโครงสร้างผิดปกติเช่น นิ่วในไต ผู้ป่วยที่คาสายสวนปัสสาวะ หรือท่อปัสสาวะตีบ
- ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวเช่น โรคเบาหวาน โรคไตวาย
- ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันไม่ดี เช่น โรคมะเร็ง เอดส์ ผู้ป่วยที่ได้ยากดภูมิ
- ผู้ป่วยที่สัญญาณชีพไม่คงที่
- ผู้ป่วยที่ปวดมาก
- ผู้ป่วยที่มีสภาพขาดน้ำอย่างมาก
- ผู้ป่วยที่ไม่มีคนดูแล
ที่มา : http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/renal/uti/uti_medication.htm