รู้จักกับทองคำ
ทองคำ (Gold)
คือ ธาตุเคมีที่มีหมายเลขอะตอม 79 และสัญลักษณ์คือ Au (มาจากภาษาละตินว่า aurum) ทองคำเป็นธาตุโลหะทรานซิชันสีเหลืองทองมันวาวเนื้ออ่อนนุ่ม สามารถยืดและตีเป็นแผ่นได้ ทองคำไม่ทำปฏิกิริยากับสารเคมีส่วนใหญ่ นอกจากนี้ใช้เป็นทุนสำรองทางการเงินของหลายประเทศ ใช้เป็นเครื่องประดับ งานทันตกรรม อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
คุณสมบัติของทองคำ
ทองคำมีความแวววาวอยู่เสมอ และไม่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจน ดังนั้นเมื่อสัมผัสถูกอากาศ สีของทองจะไม่หมอง ไม่เกิดสนิม และมีความอ่อนตัว นอกจากนี้ทองคำเป็นโลหะที่มีความอ่อนตัวมากที่สุด เพราะทองเพียงแค่ประมาณ 2 บาท เราสามารถยืดออกเป็นเส้นลวดได้ยาวถึง 8 กิโลเมตร หรืออาจตีเป็นแผ่นบางได้ถึง 100 ตารางฟุต และทองคำยังเป็นโลหะชนิดหนึ่งที่สามารถนำไฟฟ้าได้ดีอีกด้วย
คุณสมบัติเหล่านี้ประกอบกับลักษณะภายนอกที่เป็นประกายจึงทำให้ทองคำเป็นที่หมายปองของมนุษย์มาเป็นเวลานับพันปี โดยนำมาตีมูลค่าสำหรับการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศและใช้เป็นวัตถุดิบที่สำคัญและได้รับความนิยมอย่างสูงสุดสำหรับวงการเครื่องประดับทองคำ เพราะเป็นโลหะมีค่าชนิดเดียวที่มีคุณสมบัติพื้นฐานหลายประการซึ่งทำให้ทองคำโดดเด่น และเป็นที่ต้องการเหนือบรรดาโลหะมีค่าทุกชนิดในโลก คือ
• งดงามมันวาว (Luster) สีสันที่สวยงามตามธรรมชาติผสานกับความมันวาวก่อให้เกิดความงามอันเป็นอมตะ ทองคำสามารถเปลี่ยนเฉดสีทองโดยการนำทองคำไปผสมกับโลหะมีค่าอื่นๆ ช่วยเพิ่มความงดงามให้แก่ทองคำได้อีกทางหนึ่ง คงทน (durable) ทองคำไม่ขึ้นสนิม ไม่หมอง และไม่ผุกร่อน แม้ว่ากาลเวลาจะผ่านไป 3000 ปีก็ตาม
• หายาก (Scarce) ทองเป็นแร่ที่หายาก กว่าจะได้ทองคำมาหนึ่งออนซ์ (31.167 gram) ต้องถลุงก้อนแร่ที่มีทองคำอยู่เป็นจำนวนหลายตัน และต้องขุดเหมืองลึกลงไปหลายสิบเมตร จึงทำให้มีค่าใช้จ่ายที่สูง เป็นเหตุให้ทองคำมีราคาแพงตามต้นทุนในการผลิต
• นำกลับมาหลอมใหม่ได้ (Reusable) ทองคำเหมาะสมที่สุดต่อการนำมาทำเป็นเครื่องประดับเพราะมีความเหนียวและอ่อนนิ่มสามารถนำมาทำขึ้นรูปได้ง่าย อีกทั้งยังสามารถนำกลับมาใช้ใหม่โดยจุดหลอมเหลว 1064 และจุดเดือด 2970 องศาเซลเซียส
• ไม่ทำปฏิกิริยาทางเคมี (Chemically Inert) ทองคำบริสุทธิ์ไม่ทำปฏิกิริยาทางเคมีได้ง่าย จึงทนต่อการผุกร่อนและไม่เกิดสนิมกับอากาศ (Oxidize) แต่มีปฏิกิริยากับคลอรีน ฟลูออรีน น้ำประสานทอง
• มีค่าความเหนียว (Ductility) และความสามารถในการขึ้นรูป (Malleability) คือ ทองคำบริสุทธิ์จะยืดขยาย (Extend) เมื่อถูกตีหรือรีดในทุกทิศทาง โดยไม่เกิดการปริแตกได้สูงสุด ทองคำบริสุทธิ์หนัก 1 ออนซ์สามารถดึงเป็นเส้นลวดยาวได้ถึง 80 กิโลเมตร ถ้าตีเป็นแผ่นก็จะได้บางเกินกว่า 1/300,000 นิ้ว ส่วนความกว้างจะได้ถึง 9 ตารางเมตร
ประวัติของทองคำ
มนุษย์รู้จักทองคำนับตั้งแต่ประมาณ 6,000 ปีที่แล้ว เริ่มตั้งแต่สมัยอิยิปต์โบราณและเมโสโปเตเมีย นอกจากนี้คัมภีร์ไบเบิลฉบับเก่าแก่ได้กล่าวถึงทองคำไว้ว่าคนในอดีตมีความเชื่อว่าทองมีคุณสมบัติในการรักษาโรคเมื่อสวมใส่เป็นเครื่องนุ่งห่มหรือแม้กระทั่งเมื่อบริโภคทองคำเข้าไปอีกด้วย ช่วงปีค.ศ.ที่1492-1600 ในยุคที่คริสโตเฟอร์โคลัมบัสค้นพบโลกใหม่ (New World) พบว่าทองคำจำนวนมากกว่า 8,000,000 ออนซ์หรือคิดเป็น 35% ของปริมาณทองทั้งหมดของโลกถูกผลิตจากแถบอเมริกาใต้ ในศตวรรษที่ 17และ18 เหมืองทองของโลกใหม่ (New World) โดยเฉพาะเหมืองที่อยู่ในโคลัมเบียสามารถผลิตทองคำได้ คิดเป็นมูลค่า 61% และ 80% ของปริมาณทองทั้งหมดของโลกตามลำดับ และในศตวรรษที่ 18 ทองคำจำนวน 48,000,000 ออนซ์ถูกผลิตมาจากเหมืองดังกล่าว
ในปี 1823 รัสเซียกลายเป็นผู้นำการผลิตทองคำ และคงความเป็นใหญ่ในการผลิตต่อไปอีก 14 ปี โดยทองคำที่ถูกผลิตในปี1850-1875 มีปริมาณมากกว่าปริมาณทองคำทั้งหมดที่ผลิตในโลกตั้งแต่ปี 1492 ซึ่งมีเหตุผลหลักมาจากการค้นพบ แคลิฟอเนียและออสเตรเลีย ตลอดช่วงศตวรรษที่ 20 ปริมาณการผลิตทองคำของโลกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากอลาสก้า ดินแดนแถบแม่น้ำยูคอน และแอฟริกาใต้ มีความสามารถในการผลิตทองคำมากยิ่งขึ้น อันเป็นผลมาจากการพัฒนากระบวนการผลิตทองคำในแอฟริกาใต้
ปลายศตวรรษที่ 20 แอฟริกาใต้ รัสเซีย สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย เป็นผู้ผลิตทองคำคิดเป็น 2 ใน 3 ของปริมาณทองคำทั้งหมดของโลก โดยเฉพาะแอฟริกาใต้นั้นมีกำลังการผลิตมากที่สุดซึ่งคิดเป็น 1 ใน 3 ของปริมาณทองคำทั้งหมดของโลก
ปี 2007 แอฟริกาได้ใต้สูญเสียตำแหน่งผู้ผลิตทองรายใหญ่ที่สุดของโลกให้กับประเทศจีน โดยประเทศจีนมีกำลังการผลิต 276 ตัน จากผลผลิตทองคำทั้งหมด 2,444 ตันทั่วโลก คิดเป็น 11.3% จากผลผลิตของทองคำทั่วโลก ในขณะที่แอฟริกาใต้มีผลผลิตรวม 272 ตัน คิดเป็น 11.1% จากผลผลิตของทองคำทั่วโลก อันดับสามได้แก่ สหรัฐอเมริกา โดยมีผลผลิตทองคำโดยประมาณเท่ากับ 255 ตัน คิดเป็น 10.4% จากผลผลิตของทองคำทั่วโลก และยังมีประเทศอื่นๆที่มีการผลิตทองคำในปริมาณรองลงมา ได้แก่ ออสเตรเลีย อินโดนิเซีย เปรู รัสเซีย และแคนาดา ตามลำดับ
หน่วยน้ำหนักของทองคำ
กรัม : ใช้กันเป็นส่วนใหญ่ ถือว่าเป็นหน่วยสากล
ทรอยเอานซ์: ใช้ในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ เช่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย
โทลา: ใช้กันทางประเทศแถบตะวันออกกลาง อินเดีย ปากีสถาน
ตำลึง: ใช้ในประเทศที่ใช้ภาษาจีน เช่น จีน ไต้หวัน ฮ่องกง
บาท: ใช้ในประเทศไทย
ชิ: ใช้ในประเทศเวียดนาม
การแปลงน้ำหนักทองคำ
ทองคำความบริสุทธิ์ 96.5% (มาตรฐานในประเทศไทย)
• ทองรูปพรรณ น้ำหนัก 1 บาท เท่ากับ 15.16 กรัม
• ทองคำแท่ง น้ำหนัก 1 บาท เท่ากับ 15.244 กรัม
ทองคำความบริสุทธิ์ 99.99%
• ทองคำ 1 กิโลกรัม เท่ากับ 32.1508 (ทรอย) ออนซ์
• ทองคำ 1 (ทรอย) ออนซ์ เท่ากับ 31.1040 กรัม
หมายเหตุ: ทรอยออนซ์ เป็นหน่วยชั่งของโลหะมีค่า
• 1 ทรอยออนซ์ เท่ากับ 1.097 ออนซ์ (ปกติ)
• 12 ทรอยออนซ์ เท่ากับ 1 ทรอยปอน
• 1 ทรอยปอน เท่ากับ 373 กรัม
การตั้งราคาทองคำ
การตั้งราคาทองในประเทศไทยอ้างอิงจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ Gold Spot และ USD-THB
Gold spot
คือ ราคาทองต่างประเทศ มีการซื้อขายทองโดยใช้เงินสกุลดอลล่าร์
USD-THB
คือ อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทเทียบกับเงินสกุลดอลลาร์
การตั้งราคาทองในประเทศไทย มีสูตรคำนวณดังนี้
สูตรคำนวณราคาทองคำ = (spot gold + 1) x อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท x 0.4729
96.5% VS 99.99%
ทองคำ 96.5% กับ 99.99% จะแตกต่างกันที่เปอร์เซ็นต์ค่าความบริสุทธิ์ของทอง ถือว่าเป็นทองที่ได้มาตรฐานทั้งสองประเภทขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละบุคคล โดยทองคำ 99.99% เป็นที่นิยมทั่วโลกและเป็นสากล ส่วนทองคำ 96.5% เป็นที่นิยมในประเทศไทยมากกว่า
ราคา Spot Rate ที่มีการซื้อขายในต่างประเทศจะเป็นราคาทองคำ 99.99% ซึ่งหากจะใช้เปรียบเทียบราคาทองคำที่มีความบริสุทธิ์น้อยกว่าที่ 96.5% สามารถคูณราคาตามสัดส่วนความบริสุทธิ์ที่น้อยลง อย่างไรก็ตามราคาดังกล่าวจะเป็นราคาที่ใช้เพื่ออ้างอิงเท่านั้น ราคาการซื้อขายจริงอาจต้องรวมถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินการต่างๆ ที่เกิดขึ้น
ราคาทองคำแท่ง 96.5% ในประเทศไทย ร้านค้าทองคำทั่วไปที่เชื่อถือได้จะใช้ราคาจากสมาคมค้าทอง ซึ่งจะมีส่วนต่างของราคารับซื้อกับราคาขายออกต่างกันอยู่ 100 บาท ซึ่งเป็นส่วนต่างของราคาที่นักลงทุนต้องคำนึงในการทำการซื้อขาย ดังนั้นจึงควรหาบริษัทที่รับซื้อขายทองคำเพื่อการลงทุนโดยเฉพาะ ที่มีการบริหารการซื้อขายทองคำที่มีประสิทธิภาพและมีความเป็นมืออาชีพ เพื่อจะได้รับทองคำที่ได้มาตรฐานและไม่ถูกหักเปอร์เซ็นต์ส่วนเพิ่มจากราคาที่สมาคมประกาศ เพื่อนักลงทุนจะได้ไม่สูญเสียโอกาสที่จะได้รับกำไรจากการลงทุนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
ที่มา : http://www.ylgbullion.com/th/knowledge.php